Naga statues are spraying water
demon statues stand before Thai house
pay homage to the Buddha statues in a cave
here, you can buy amulets and holy objects
Interior decoration with gilded black lacquer
the statue of Khunmae Boonruen
the principal Buddha statue in the ordination hall
The lines of her feet from left to right
Wat Samphan Thawong
Update : January 27, 2023
It was originally called "Wat Koh", located in Samphan Thawong district, Chainatown. There is no evidence who built it, we only know it's an old temple from the Ayutthaya period.
The temple was renovated by the order of two kings of the present Chakri Dynasty. After the entire temple was renovated, King Rama 1 gave it a name "Wat Koh Kaew Langkaram".
Later, in the reign of King Rama 4, the temple was renovated again and its name was changed to "Wat Samphan Thawong Worawiharn. But most of local pelple call it "Wat Samphan Thawong".
It's another temple where lots of famous people come to make wishes, even though Chinatown's traffic is bad. They will place bananas, red lime, drinking water, pepper, or various kinds of fruits before the statue of Khunmae Boonruen as offerings.
After that, they will bring those offerings home and eat, because they believe all the offerings can cure all kinds of illnesses.
Within the temple, there are many Buddha statues in Thai traditional houses, including Thai amulets and holy objects. As for the statue of Khunmae Boonruen, her statues are placed in separate rooms. Some rooms are very beautiful and well known for its black and gold lacquer wall.
Walking a little farther, you will see a three-story white building - the principal Buddha statue is placed on the 3rd floor of the ordination hall.
Khunmae Boonruen's Biography
Khunmae Boonruen Tongboonterm - Khunmae means mother, and her name is Boonruen. She was born on March 14, 1894, at Khlong Sam Wa, Minburi district. Later, her family moved to Rat Burana district, which was full of fruit gardens.
Later, she got married to POL.CPL.Joi Tongboonterm, who worked at Samphan Thawong district, and had no children. She was kind and was a woman of action. Much of her childhood was spent practicing Dharma.
She still went to the temple to listen to Dharma teachings and pratice Dharma even after marriage. And she eventually asked her husband's permission to enter the nunhood.
Most people might not know she had auspicious signs on the soles of her feet, because her uncle told her not to show her feet to anyone else before turning 60 years old.
When he was 65 years old, corresponding to the year 1959, she had her disciples draw lines of her soles because her relatives and disciples told her that they would be lucky after seeing her feet.
Her left foot had a stupa and a flag, while the other foot had a lotus bud, a monk's fan, a conch shell and a flag of victory.
She could remember her past lives, and one of those happened around 1,000 years ago. She was the king of Chiang Mai's daughter, named Princess Soi Suwan.
At that time she was 10 years old, she saw herself wearing gold ankle rings and went to where the Buddha statue was casting. She and her babysister went up to the area around the stupa at Wat Phrathat Doi Suthep.
She secretly took off her gold ankle ring and threw it into a crucible. The gold ring was used for casting the Buddha statue and covering the top of the stupa.
After their return, her babysister was punished for losing the ankle ring, while she said nothing at all. That karma caused her to be born into a poor family in current life. However, the result of making merit made her sole had auspicious signs like a stupa and a flag.
Become self-enlightened
It's said that she strictly followed the Buddha's Dharma way until she ended suffering. She gained the fourth Jhana (Abandon pleasantness and unpleasantness) and the six higher knowledges (perform miracles).
She could make a small mango tree to flower in a day, shorten a distance, walk in the rain without getting wet, make it rain, stop raining, cure people, etc.
And most importantly, she could blessed objects and amulet. The amulet that made her very famous is Phra Phuttho Noi, the batch of amulets was blessed up to 3 times. To this day, everyone still wants to own her amulets and other objects.
Leave her body
She left her body at 11.00 am, on September 9, 1964 due to kidney disease, anemia, and high blood pressure. During the suffering, she refused treatment. Her disciples asked her why she cured others but not herself.
She replied that if she had cured herself, then she would have wanted to live for a long time, be happy, and discover new things, all the desires were not what she wanted.
Before she passed away, she told her disciples to stop the two clocks at 11.00 a.m - she gave a reason that the loud ticking of the clocks annoyed her.
They did as what she said without realising that it was the time Khunmae Boonruen left her body.
วัดสัมพันธวงศ์
เดิมชื่อวัดเกาะ เพราะมีคลองล้อมรอบ ตั้งอยู่ในเขตสัมพันธวงศ์ ย่านเยาวราช ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างวัด ทราบแต่ว่าเป็นวัดโบราณตั้งแต่สมัยอยุธยา
ร.1 ให้สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี บูรณปฏิสังขรณ์วัดใหม่ แล้วพระราชทานนามว่า วัดเกาะแก้วลังการาม ต่อมา ร.4 ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดใหม่อีกครั้ง แล้วเปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร แต่ชาวบ้านมักเรียกสั้นๆ ว่า วัดสัมพันธวงศ์
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวัดที่มีเหล่าคนดังเดินทางเข้ามาขอพรตลอด ถึงแม้ว่ารถจะติดเพราะวัดอยู่ในย่านเยาวราช พวกเขาจะนำกล้วย ปูนแดงที่ใช้ทาพลูกินหมาก น้ำดื่ม พริกไทย หรือผลไม้นานาชนิด มาวางไว้หน้ารูปปั้นของท่าน เพื่อเป็นการถวายบูชา แล้วลากลับเอาไปรับประทาน ด้วยเชื่อว่าจะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้
ด้านในวัดมีพระพุทธรูปมากมายอยู่ในศาลาเรือนไทย รวมถึงวัตถุมงคลให้เช่าบูชา ส่วนรูปปั้นคุณแม่บุญเรือนถูกวางไว้ในบ้านเรือนไทย แยกเป็น 3 ห้อง เดินไปอีกหน่อยจะเห็นอาคารขนาดใหญ่ 3 ชั้น นั่นคืออุโบสถ ชั้นบนสุดประดิษฐานพระประธาน
ประวัติคุณแม่บุญเรือน
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เกิดวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2437 ที่คลองสามวา อ.มีนบุรี ต่อมาครอบครัวของท่านได้ย้ายมาอยู่ ต.บางประกอก อ.ราษฎร์บูรณะ อยู่ในละแวกบ้านชาวสวน
ต่อมาท่านได้แต่งงานกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม ซึ่งเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลสัมพันธวงศ์ โดยอยู่กินกันฉันสามีภรรยา แต่ไม่มีบุตรด้วยกันเลย
ท่านเป็นผู้ที่มีความเมตตา ชอบการทำบุญ ถือศีลห้าเคร่งครัดตั้งแต่เด็ก และเป็นคนพูดจริงทำจริงตลอดเวลา ท่านมักไปฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ที่วัดสัมพันธวงศ์บ่อยๆ จนในที่สุดท่านได้ลาสามีออกบวช ขณะยังครองชีวิตร่วมกับสามี
หลายคนอาจไม่ทราบว่าฝ่าเท้าของท่าน มีลายเส้นเป็นรูปมงคลต่างๆ เนื่องจากคุณตาของท่านสั่งไว้ว่า"ถ้าอายุยังไม่ถึง 60 ปี ห้ามไม่ให้ใครดูฝ่าเท้า"
ต่อมาเมื่อท่านอายุได้ 65 ปี ตรงกับ พ.ศ.2502 ท่านได้ให้ลูกศิษย์ทำการวาดลายเท้าของท่าน เนื่องจากญาติพี่น้องและลูกศิษย์ที่ได้เห็นลายเท้าของท่านบอกกับท่านว่า พวกเขาจะโชคดีหลังจากที่ได้ดูลายเท้า ภาพลายเท้านี้ ถูกเรียกว่า "ทางขาวก้าวหน้า"
เท้าข้างซ้าย มีรูปเจดีย์ และธงปัก ส่วนเท้าข้างขวามีรูปดอกบัวตูม ตาลปัตรใบลาน หอยสังข์ และธงชัย ท่านระลึกชาติได้ 3 ชาติ ชาติแรก เป็นเหตุการณ์เมื่อราว 1,000 ปีมาแล้ว ท่านได้เกิดเป็นธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่ ชื่อเจ้าหญิงสร้อยสุวรรณ
ขณะที่ท่านอายุ 10 ขวบ ท่านเห็นตัวเองใส่กำไลเท้าทองคำ 2 ข้าง และไปร่วมงานที่มีการหล่อพระพุทธรูปสมโภชทำยอดเจดีย์ดอยสุเทพหุ้มทองคำ ท่านได้ขึ้นไปบนลานเจดีย์ดอยสุเทพพร้อมกับพี่เลี้ยง แล้วแอบถอดกำไลเท้าข้างหนึ่งโยนไปในเบ้าหลอมเพื่อทำพระและหุ้มเจดีย์โดยไม่บอกใคร
เมื่อกลับมาพี่เลี้ยงถูกลงโทษเนื่องจากกำไลเท้าหาย ตัวท่านก็นิ่งเฉย เป็นเหตุให้ท่านเกิดมาในภพปัจจุบันเป็นลูกคนจน แต่ด้วยอานิสงส์ในการทำบุญครั้งนี้ เท้าของท่านจึงมีรูปเจดีย์ที่มีธงปัก
บรรลุธรรม
เล่ากันว่า ในระหว่างที่ท่านบวช ท่านได้สำเร็จจตุตถฌาน (ฌาน4) และอภิญญาหกประการ สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าท่านสำเร็จอภิญญาหก คือ ท่านสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และแสดงอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย เช่น การอธิษฐานให้ต้นมะม่วงต้นเล็กออกช่อภายในคืนเดียว การย่นย่อหนทางยาวให้สั้น เดินตากฝนไม่เปียก เรียกฝนให้ตกได้และทำให้ฝนหยุดตกได้ เรียกลมให้พัดได้ ฯลฯ
ท่านยังได้ร่วมสร้างพระเครื่องของวัดอาวุธวิกสิการาม และทำพิธีอธิษฐาน ในเดือนกันยายน พ.ศ.2494 จำนวน 1 แสนองค์ นอกจากนี้ท่านยังได้อธิษฐานถุงเขียวเหนี่ยวทรัพย์ แล้วนำไปทำพิธีที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี, และอธิษฐานให้ศิลาน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ซึ่งได้ทำพิธีเก็บศิลาน้ำ เมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ.2499
ต่อมาท่านได้ทำพิธีชักธงชัยชนะ ชัยมงคล เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2499, ทำพิธีนางกวัก เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2499 โดยท่านให้ซื้อทัพพีทองเหลืองมาทำเป็นนางกวัก ให้เขียนว่านางกวัก เวลาตักให้จับทัพพีแล้วพูดว่า "นางบุญเรือนเข้านิโรธ ให้พวกเราประสบความสำเร็จ นางกวัก กวักเงินกวักทองได้ลาภ"
ส่วนพระเครื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่าน คือ พระพุทโธน้อย โดยท่านได้สร้างแล้วถวายให้กับเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ในปี พ.ศ.2494 เพื่อนำมาแจกในงานฉลองพระประธาน (พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี หรือ พระพุทโธใหญ่) ในอุโบสถ วัดสารนาท จ.ระยอง ในปี พ.ศ.2499
ซึ่งพระชุดนี้ได้รับการปลุกเสกถึง 3 ครั้ง ครั้งแรก ท่านได้อธิษฐานจิตที่วัดอาวุธ (พ.ศ.2494) ครั้งที่สอง ท่านได้อธิษฐานจิตร่วมกับพระเกจิอีกหลายรูปที่วัดสัมพันธวงศ์ (พ.ศ.2499) ครั้งที่สาม ท่านได้อธิษฐานจิตที่วัดสารนาท จ.ระยอง (พ.ศ.2499)
ละสังขาร
ท่านได้ละสังขาร ในปี พ.ศ.2507 เนื่องจากอาการป่วยของโรคไต หัวใจอ่อน โลหิตจาง และความดันโลหิตสูง มีแต่อาการทรงกับทรุด และท่านไม่ยอมรับการรักษาจากแพทย์
ลูกศิษย์หลายคนได้พูดกับท่านว่า ท่านรักษาคนอื่นให้หายจากความเจ็บป่วย แล้วทำไมท่านไม่อธิษฐานให้ตนเองหายป่วยบ้าง ท่านตอบว่า "ถ้าท่านอธิษฐานเพื่อตนเอง ก็เท่ากับยังอยากมีชีวิตอยู่ อยากมีความสุข อยากพบสิ่งใหม่ ๆ บนพื้นพิภพ ล้วนเป็นกิเลส ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้"
ก่อนท่านจะละสังขาร ท่านได้สั่งให้หยุดนาฬิกาเรือนใหญ่ไว้ในเวลา 11.00 น. เศษ ทั้งสองเรือน ท่านบอกว่าหนวกหู ลูกศิษย์ได้ทำตามที่ท่านขอ โดยมิได้เฉลียวใจแต่อย่างใด และแล้วในเวลา 11.00 น. ของวันที่ 7 กันยายน 2507 คุณแม่บุญเรือน ได้ละสังขาร