Khun Phan's photo (Puntharak Rachadech)

Luang Pho Bunsong attended Khun Phan's funeral

Luang Pho Koon visited Luang Pho Bunsong at Wat Krajom

Child spirits : kuman thong, kuman thep, luk krok, rak yom

Two hungry ghosts

Buddha statues in the ordination hall 

a pond is behind the temple wall

the stupa ruin

Wat Krajom

Update : July 6, 2022

It's an old temple in the late Ayutthaya period. Later, it became deserted. Only a stupa ruin was found, while the other structures in the temple were built later. This temple used to be a residence of Krom Khunpronpinit, King Borommakot'son during his monkhood.

At first, I wasn't interested in visiting this temple and never heard of its name. I happened to find it on the way to somewhere, and decided to stop to take a photo. At that time, I had a chance to talk to the current abbot and asked him for information. After I had known of a story of the abbot, named "Luang Pho Boonsung", I realized that it was such an interesting temple.

Luang Pho Boonsung was Khun Phan's right-hand before leaving everything to become a monk. Of course, I think everyone knows who "Khun Phan" is. Khun Phan (Phantarak Rachadech) was a legendary police who fought for people against illegal acts. 

He could defeat and capture all bandits, especially Sua Mahesuan. Sua Mahesuan was high on Thai police wanted list at that time, he was finally arrested by Khun Phan. If you want to know more about this, you can read online from many websites, or the book named "The Journal of Southeast Asian Studies" published by Cambridge University.

Alright, let's explore the temple. As you walk through the entrance, you will see the ordination hall on the right and chinese shrines on the left. Behind the ordination hall is a pair of hungry ghosts welcoming everyone to the temple. 

You might wonder why the two ghosts are placed in the temple - this reflects what Buddhist people believe and reminds them of life after death. In Buddhism, we believe If you do a good deed, you would go to the heaven. But on the other hand, you would go to the hell or become a hungry ghost if you do a bad deed.

After you see the ghosts and Buddha statues in the temple, you walk to a pond to feed the fish. The pond is behind the temple wall. 

As for the stupa ruin, it isn't in the temple. If you want to see it, you turn right and follow a narrow road between the temple wall and the pond, keep going straight for 1 km, it will be on the left. Today, the top part of the tilted stupa seems to collapse at any moment! 

วัดกระโจม

วัดกระโจม ตั้งอยู่ อ.อินทร์บุรี เดิมเป็นวัดร้าง มีแต่เจดีย์เก่าเพียงองค์เดียวที่หลงเหลืออยู่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งครั้งนึงเจ้าฟ้าอุทุมพร หรือกรมขุนพรพินิต (โอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์) ได้มาอุปสมบทที่วัดนี้

ในช่วงที่ท่านบวช ท่านได้บูรณะวัดกระโจม และมีการสร้างพระเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารที่ไปออกรบ เพราะขณะนั้นมีการทำสงครามกับพม่ามาโดยตลอด จนกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ 2 ซึ่งพระที่ท่านสร้าง ได้แก่ พระเดี่ยวดำ พระเดี่ยวแดง

หลวงพ่อบุญส่ง กุสลปุญโญ เจ้าอาวาสรูปที่ 6 แห่งวัดกระโจม ท่านได้เคยเล่าไว้ว่า วัดกระโจมในปัจจุบันตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นป่าช้าฝังศพ แต่ก่อนมีแค่เจดีย์เท่านั้น เมื่อตอนท่านยังเป็นเด็ก ท่านได้เคยอธิษฐานตอนเดินผ่านเจดีย์ว่า "ถ้าโตขึ้นและมีอำนาจวาสนา จะกลับมาบูรณะองค์เจดีย์โคกวัดกระโจมให้สวยงามให้จงได้" และในที่สุดท่านก็ได้กลับมาบูรณะเจดีย์องค์นี้

เจดีย์วัดโคกอยู่ห่างจากวัด ประมาณ 1 กม อยู่ด้านขวามือของบ่อน้ำที่เราไปให้อาหารปลา (ดูรูป) ถ้าจะขับรถยนต์ไปที่เจดีย์ ให้ขับผ่านโรงเรียน (ซึ่งอยู่ติดกับวัด) พอจะออกจาก ร.ร. ให้เลี้ยวขวา แล้วขับตรงมาเรื่อยๆ เจดีย์จะอยู่ทางซ้ายมือ 


หลวงพ่อบุญส่ง กับ ขุนพันธ์

หลวงพ่อบุญส่ง ชื่อเดิมคือ นายบุญส่ง บุญยาลักษณ์ เกิด 20 เม.ย 2462 ท่านเป็นอดีตมือขวาของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" เมื่อเอ่ยชื่อขุันพันธ์ เราเชื่อว่าทุกคนคงรู้จักท่านดี ท่านทำให้ "ตำนานจตุคามรามเทพ" ดังกระฉ่อนมากในยุคนั้น และเรื่องราวของขุนพันธ์ได้ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษโดยมหาวิทยาลัย Cambridge เชื่อไหมว่า ชาวต่างชาติที่อยู่ในต่างประเทศยังรู้จักขุนพันธ์เลย

ในปี 2489 ขุนพันธ์ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการภูธรตำรวจ จ.ชัยนาท และเป็นรองผู้อำนวยการกองปราบปรามพิเศษ ขณะนั้นท่านมี ส.ต.ท.บุญส่ง บุญยาลักษณ์ เป็นลูกศิษย์มือขวาของท่าน ท่านได้รับมอบหมายให้ไปจับเสือฝ้ายโดยตรง พร้อมกับรับคำสั่งให้ไปปราบคอมมิวนิสต์ที่ จ.พัทลุง ในคราวเดียวกัน

ตอนนั้นขุนพันธ์ได้พา ส.ต.ท.บุญส่ง ไปฝึกฝนวิชาที่สำนักเขาอ้อ มีการอาบน้ำว่าน กินเหนียวและผ่านพิธีกรรมต่างๆ ต่อมา ส.ต.ท.บุญส่ง ได้ปะทะกับเสือฝ้าย เสือมเหศวรบ่อยครั้งแต่ก็จับไม่ได้ จนมาปะทะกันที่ค่ายบางระจัน เสือมเหศวรสู้ไม่ได้ จึงหนีไป และยอมไปเป็นมือขวาของเสือฝ้าย แต่สุดท้าย ขุนพันธ์, ส.ต.ท.บุญส่ง และนายตำรวจประจำท้องที่อีก 4นาย ได้ล้อมจับเสือฝ้ายและเสือมเหศวรได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยใช้ทั้งอาวุธและคาถาอาคม 

เสือฝ้ายถูกนำตัวเข้าศูนย์ฝึกอบรมที่ วัดโพธิ์ลังกา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ต่อมาท่านอธิบดีเผ่า ศรียานนท์ ได้มีคำสั่งให้นายยอดยิ่ง (อดีตตำรวจ ฉายา อัศวินแหวนเพชร) นำตัวเสือฝ้ายไปยิงทิ้งที่วัดนางใน จ.อ่างทอง

ส่วนเสือมเหศวรนั้นรอดตัวเพราะถูกจองจำที่ จ.สุพรรณบุรี รอการสอบสวน หลังจากที่ได้รับโทษในเรือนจำ เสือมเหศวรก็ออกมาบวชแล้วอยู่มาถึง ปี 2557 (อายุ 101 ปี) ก็เสียชีวิต 

โดยก่อนที่เสือมเหศวรจะเสียชีวิต เขาได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อบุญส่งได้บวชอยู่ที่วัดกระโจม จึงเดินทางมากราบขอโหสิกรรม และขอเป็นสหายกันนับแต่นั้นมา

หลวงพ่อบุญส่ง ได้เรียนวิชาด้านการแพทย์จากหลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ จ.ฉะเชิงเทรา ท่านใช้วิชาช่วยคนมากมาย บางคนโดนคุณไสยมา หลวงพ่อก็รักษาจนหาย จนได้รับฉายา "หมอเทวดา"  นอกจากนี้ท่านยังเรียนวิชามหานิยม ฝึกทำของให้ขึ้นกับ พลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ด้วย ต่อมาท่านได้เรียนวิชาเวทย์มนต์ต่างๆ รวมถึงการเขียนยันต์ กับหลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่

หลวงพ่อบุญส่ง ได้รักษาหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง, หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม และยังมีพระอีกหลายรูปในจังหวัดอื่น ท่านเป็นที่นับถือของนายตำรวจมากมาย รวมถึงดาราหลายคน โดยเฉพาะคุณสรพงษ์ ชาตรี กับคุณแหม่ม จินตรา สุขพัฒน์ และท่านได้บริจาคเงินหลายสิบล้านในการบูรณะวัด ช่วยเหลือผู้ยากไร้ สร้างสถานีอนามัย ฯลฯ

ข้อมูลทั้งหมดนี้ เราได้มาจากคุณป้าอำนวย พิมพา (นามสกุลเดิมคือ บุญยาลักษณ์) ซึ่งเป็นลูกสาวของหลวงพ่อบุญส่ง