This building is called Viharn Luang Pho Yen

the Buddha statues in the middle is called Luang Pho Yen

the ordination hall is called Ubosot

 Inside the ordination hall 

The corn-shaped tower is called Prang or Phra Prang

The Buddha statue in royal attire is called Luang Pho Yai Chai Mongkol 

The model of Naliphon tree

A couple of Makkaliphon have a light fragrant

Wat Phra Prang Muni

Update : July 30, 2022

It's located on Asia Road, opposite Thao Maha Phrom Shrine.

In the eyes of tourists, this temple is famous for its corn-shaped tower and big reclining Buddha statue, but in my eyes or Buddhists it's famous for its legendary fruit known as Makkaliphon.

The corn-shaped tower like spire is called Prang or Phra Prang, that stands opposite the big reclining Buddha statue. The tower and the reclining Buddha statue are separated by a small road in the temple. Around the tower are lots of deities - a Big chinese goddess, a Hindu god and Buddha statues.

It's unclear when the temple was first built and who built it. The ruins of buildings and Buddha heads indicate that the temple was probably built in the Ayutthaya period and became a deserted place since the second fall of Ayutthaya kingdom. During that time, Burmese army destroyed many Buddhist temples and also cut off Buddha heads.

Later, a monk on pilgrimage that Thai people call "Phra Tudung" travelled to the temple and set a long-handled umbrella there. During his stay, he invited holy water from the Buddha head, that were found in the temple. And he used that water to cure villagers from diseases.

After the villagers recovered, they realized that the the Buddha head helped and brought them peace. Therefore, everyone called them "Luang Pho Yen", that the word Yen means peace in Thai. Later, body of Luang Pho Yen was made. 


Other interesting things 

1. The ordination hall (Ubosot) is aged more than a hundred years old, that contains the principal Buddha statue, named Phra Phukhao Thong. Inside of the hall, there are mural paintings depicting about heaven, hell and the life of the Lord Buddha. It was painted by a native of Laos in 1919.

Only the upper part of the hall without mural paintings was extended with brick, whereas the other parts and mural paintings are still the same.

Unbelievable! how the mural paintings have stood the test of 102 years of time and remain standing for us. A monk said "the paintings have never been repainted since 1919"

2. The Buddha statue in royal attire named Luang Por Yai Chai Mongkol is enshrined on the 2nd floor of the sermon hall.

3. The holy water pond is in a small building, next to the building that enshrines Luang Pho Yen. The pond is too deep, so a monk covers it with a steamer pot lid to prevent kids from falling.

4. The model of Naliphon tree is better known as Makkaliphon. It's a tree in Buddhist mythology, bearing fruits in the shape of young girls and growing in the Himaphan forest. 

As for Makkaliphon, it is in a glass box, on the 2nd floor of the sermon hall. 


Makkaliphon

In the middle of 1996, the discovery of Makkaliphon was widely mentioned in newspapers. At that time, the abbot of Wat Phra Prang Muni owned a couple of Makkaliphon.

The abbot said, "the couple of Makkaliphon were real". Of course, everyone wants to know whether the couple is real or not. Therefore, this leads to the idea of using X-ray. And the X-ray showed no skeletons!.

The abbot also said that he got the couple from Luang Pho Jarun of Wat Amphawan. But actually, the couple belonged to another monk named Luang Pho Tu at first.

It was said that Luang Pho Tu was a hermit living in the Himaphan forest in his past life. In his present life, LP Tu accidentally met an old man with long messy hair and smelled bad. The moment LP Tu saw that man walking toward him, LP Tu realized that man was a little kooky.

Therefore, LP Tu gave him food and let him stay at the temple. He stayed there for 3 days. But before he left the temple, he gave a box to LP Tu. And he also told LP Tu "You have three more years to live, so hurry to support Buddhism". 

That man was believed to be a deity, that transformed himself into a human. And in his past life, he was LP Tu's friend.

After LP Tu passed away, his son left the couple of Makkaliphon with LP Jarun of Wat Amphawan. In 1995, the couple came into the previous owner's dream and told him that they wanted to help the abbot of Wat Phra Prang Muni build the corn-shaped tower.

Therefore, Makkaliphon was transferred to Wat Phra Prang Muni and has been there since then. Someone hit the jackpot after buying the photo of Makkaliphon, they then donate money to the temple.

 วัดพระปรางค์มุนี

วัดนี้อยู่ติดถนนสายเอเชีย ตรงข้ามกับ พระพรหมเทวาลัย ถ้าเราขับรถเข้ากรุงเทพฯ เราจะผ่านวัดนี้คะ จากหลักฐานที่ขุดพบ ได้แก่ เศียรพระพุทธรูปองค์ใหญ่หลายๆ องค์ ,พระปรางค์ และวิหารที่มีซากปรักหักพัง วัดนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา และเคยเป็น วัดร้างเมื่อครั้งที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 ซึ่งในครั้งนั้นวัดได้ ถูกพม่าทำลายจนเหลือแต่เศียรพระ 

จนกระทั่งมีพระธุดงค์รูปนึงมาปักกลดอยู่ที่นี่ และได้อาราธนาเอาน้ำมนต์จากเศียรพระพุทธรูป ไปรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วย จนชาวบ้านได้รับความร่มเย็นเป็นสุข จึงเรียกพระพุทธรูปนั้นว่า "หลวงพ่อเย็น" ต่อมาพระอาจารย์หลวงพ่อเวช ได้จ้างช่างมาปั้นมาองค์พระสำหรับหลวงพ่อเย็น (ซึ่งเดิมนั้นมีแต่เศียร) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย


สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ

1.พระภูเขาทองซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถ และภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ เล่าเรื่องนรก สวรรค์ พุทธประวัติ วาดในปี 2462 โดยนายเพ็ง ซึ่งเป็นคนลาว 

ปัจจุบันนี้ ภาพวาดมีอายุ 102 ปี สียังเป็นของเดิม ไม่ได้มีการทาสีใหม่ ซึ่งอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก ถ้าเทียบกับวัดอื่นที่มีอายุเท่าๆ กัน

2.หลวงพ่อใหญ่ชัยมงคล หรือ พระพุทธนิมิตพิชิตมารมหาจักรพรรดิ์ และ มักกะลีผล ที่อยู่ในตู้กระจก อัญเชิญมาจากวัดอัมพวัน ของหลวงพ่อจรัญ อยู่ในศาลาการเปรียญ ชั้น 2 ตรงข้ามกับอุโบสถ

3.พระปรางค์ ภายในจะมีรูปจำลองของวัดประจำปีเกิด ทั้ง 12 ราศรี ซึ่งมีทั้งหมด 4 ชั้น ต้องขึ้นบันไดเท่านั้นคะ (ตอนเดินลง มีขาสั่นแน่ๆ) ชั้นที่ 4 จะมีพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปปางต่างๆ โดยแต่ละชั้นเราสามารถเปิดประตูไปชมทัศนียภาพด้านนอกได้ค่ะ

4.บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ,ต้นนารีผลจำลอง อยู่ใกล้กับอุโบสถ

ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะคะ เมื่อ เดือนตุลาคม พ.ศ.2565 เราได้เข้าไปที่วัดอีกครั้ง ทราบว่าทางวัดได้ชำระหนี้ (15 ล้านบาท) ที่สร้างพระนอนองค์ใหญ่หมดแล้วนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมบริจาคเงินกันเข้ามา 

สำหรับท่านใดที่ต้องการร่วมบุญเพื่อบูรณะวัด ช่วยค่าน้ำค่าไฟวัด สามารถโอนเงินไปที่ บัญชีออมทรัพย์ วัดพระปรางค์มุนี ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยโลตัสสิงห์บุรี เลขที่บัญชี 977-0-00265-8


ประวัติมักกะลีผล

ในกลางปี พ.ศ.2539  เรื่องมักกะลีผลกลายเป็นข่าวดังในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ โดยได้มีการพูดถึงการค้นพบมักกะลีผลคู่นึง ซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นไม้หอม ซึ่งขณะนั้นพระครูโกศลวิริยกิจ แห่งวัดพระปรางค์มุนี จ.สิงห์บุรี เป็นผู้ครอบครอง ท่านบอกว่ามักกะลีผลคู่นี้เป็นของจริง และได้มีการนำไปเอ็กเรย์แล้วพบว่าไม่มีโครงกระดูก 

ท่านเล่าว่า ได้มักกะลีผลมาจาก หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี แต่เดิมนั้นเป็นของหลวงพ่อตุ๊ วัดกลางทุ่ง จ.ลพบุรี เล่ากันว่าในอดีตชาติหลวงพ่อตุ๊รูปนี้เคยเป็นฤาษี อยู่ในป่าหิมพานต์มาก่อน เมื่อท่านกลับมาเกิดในชาตินี้ ท่านได้พบกับชายชราผู้นึง มีผมยาวรุงรัง เนื้อตัวสกปรกและมีกลิ่นเหม็น เดินเข้ามาหาหลวงพ่อ 

หลวงพ่อทราบว่าชายผู้นี้สติไม่ดี ท่านจึงหาอาหารให้กินและให้พักที่วัด เพียงแค่ 3 วัน ชายผู้นั้นก็ได้จากไป แต่ก่อนไปเขาได้มอบกล่องใบนึงให้หลวงพ่อ แล้วบอกกับหลวงพ่อว่า ท่านมีเวลาอีกแค่ 3 ปีก่อนจะมรณะภาพ ให้ท่านรีบทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เล่ากันว่าชายผู้นั้นเป็นเทวดาแปลงกายมา และอดีตชาติเคยเป็นเพื่อนฤาษีของหลวงพ่อตุ๊

เมื่อหลวงพ่อตุ๊มรณะภาพ คุณสำเริง ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็น ลูกชายของหลวงพ่อ ได้นำมักกะลีผลไปฝากกับหลวงพ่อจรัญ  ตามตำนานกล่าวว่า มักกะลีผล มีความศรัทธาต่อพระศาสนามาก เมื่อช่วยวัดใดวันนึงให้สัมฤทธิ์ผลแล้ว ก็จะมีการอัญเชิญต่อไปอีกวัดนึง

พระครูโกศลวิริยกิจแห่งวัดพระปรางค์มุนี เล่าว่าในปี 2538 มักกะลีผลคู่นี้ไปเข้าฝันเจ้าของเดิม ว่าจะมาช่วยท่านสร้างวัด ในตอนนั้นวัดกำลังก่อสร้างพระปรางค์อยู่แต่ยังไม่เสร็จ จึงได้อัญเชิญมักกะลีผลจากวัดอัมพวันมาอยู่ที่นี่ และตั้งแต่นั้นมาก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่วัดไม่ขาดสาย เล่ากันว่าคนที่นำภาพถ่ายของมักกะลีผลรุ่นแรกไปบูชา มีโชคลาภมากมาย แต่ตอนนี้ไม่ต้องมาหาที่วัดแล้วนะคะ เพราะคนบูชาไปหมดตั้งนานแล้ว