the highest prang tower in Thailand, 81.85 meters

It's beautifully decorated with Chinese porcelain

 two demond statues guard the gate of the ordination hall

the ordination hall

this building stands in front of the prang

enjoy beautiful river scenes

Wat Arun (The Temple of Dawn)

Update : June 22, 2023

Wat Arun isn't far from The Grand Palace and Wat Pho, but It's located on the other side of the Chao Phraya River. You can take a ferry boat from Tha Tien Pier to Wat Arun.

One of the most popular spots is the central prang tower. It's beautifully decorated with tiny pieces of Chinese porcelain, that make it look amazing. So, it has become the landmark of Thailand and the logo of the Tourism Authority of Thailand.

The temple layout symbolizes Boddhist cosmology. It's said "Mount Meru" is the center of the universe and also the home of Indra god (the ruler of the universe). So, the central prang tower was built to represent Mount Meru. If you look up at the top part of the prang, you will see the statue of Indra god on three-headed elephant.

Originally, the prang tower was 16 meters high, that was built during the Ayutthaya period. Later, It was extended to its current height of 67 meters. But the height from the base to the top is 81.85 meters. It's considered to be the highest prang tower in Thailand, not include modern skyscrapers.

Before COVID-19, visitors could climb the staircase of the prang to enjoy beautiful river scenes. But now, we aren't allowed to do that. You might not know that the restoration took about 4 years to finish, and the lastest restoration started from 2013-2017.

Another perfect backdrop for your photography is two demond statues, guarding the gate of the ordination hall.


The history of the temple

The story behind the temple goes back many decades. After the end of Ayutthaya in 1767, King Taksin and his army travelled to Thonburi area with an intention to find land to build the new capital.

One morning, the king passed an old temple located by the Chao Phraya River. It was chosen as the location for the new capital, and the king decided to restore the temple. After being restored, Wat Arun was appointed as the royal temple. The temple once enshrined the Emerald Buddha, before it was transferred to the Grand Palace.

In the Rattanakosin period, King Rama 2 planned to renovate the temple and also add more height to the prang. But unfortunately, he passed away before. Therefore, the renovation work was carried out under King Rama 3 and was completed in his reign.

This temple is regarded as the temple of King Rama 2. His ashes are kept under the base of the principal Buddha.

วัดอรุณ

วัดนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก พระบรมหาราชวัง และวัดโพธิ์ เพียงแต่วัดอรุณอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ ต้องนั่งเรือข้ามฟากไป โดยสามารถนั่งเรือที่ "ท่าเตียน" (ท่าเรืออยู่ใกล้กับวัดโพธิ์) ค่าเรือ 5 บาท

จุดถ่ายรูปยอดฮิตของวัดก็คือ ปรางค์ขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ ดังนั้นบริเวณด้านล่างองค์ปรางค์จึงมีลวดลายสัตว์ป่าหิมพานต์ และล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศ แต่เดิมปรางค์ประธานมีความสูงเพียง 16 เมตร แต่ภายหลังได้มีการต่อเติมจนมีความสูงถึง 67 เมตร *แต่ความสูงจากฐานถึงยอดปรางค์คือ 81.85 เมตร ถือว่าเป็นปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย

ปรางค์ประธานถูกประดับด้วยเศษกระเบื้องจีนนับแสนชิ้น ทำให้ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก ดังนั้นวัดอรุณจึงถูกนำมาใช้เป็น "ภาพตราสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย" ในอดีต ก่อนโควิดจะมาเยือน เราสามารถขึ้นบันไดไปชมทัศนียภาพบนปรางค์ได้ มองจากด้านบนลงมา จะเห็นเรือวิ่งผ่าน เห็นหลังคาวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ทางวัดไม่อนุญาติให้ขึ้นไปแล้ว 

สำหรับการบูรณะครั้งล่าสุดนี้ เริ่มเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2560 ใช้งบประมาณ 130 ล้านบาท ตัวลายเซรามิกที่เสื่อมสภาพถูกเซาะออกและทำใหม่ประมาณ 40% (หรือประมาณ 120,000 ชิ้น)  ด้านหน้าปรางค์ มีอาคารเล็กๆ 2 หลัง ได้แก่ วิหารน้อย ประดิษฐานเจดีย์จุฬามณี ซึ่งมีรูปปั้นท้าวจตุโลกบาลยืนเฝ้าพระเจดีย์อยู่ทั้ง 4 มุม และแท่นบรรทมรัชกาลที่ 2 ส่วนอาคารอีกหลังคือ โบสถ์น้อย ประดิษฐานแท่นบรรทมของพระเจ้าตากสิน  

จุดถ่ายรูปยอดฮิตอีกจุด ก็คือ รูปปั้นยักษ์ขนาดใหญ่ 2 ตน ยักษ์สีขาวคือ สหัสเดชะ ส่วนยักษ์สีเขียวคือ ทศกัณฐ์ ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าทางเข้าอุโบสถของวัด ยักษ์นี้มีความสูงถึง 6 เมตร ถือเป็นยักษ์ต้นแบบในการสร้างยักษ์วัดพระแก้ว

ส่วนอุโบสถ ถูกสร้างในสมัย ร.2  ประดิษฐานพระประธานนามว่า "พระพุทธรรมมิศราช โลกธาตุดิลก" ซึ่งหล่อในสมัย ร.2 


ประวัติวัด

เล่ากันว่าหลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าตากสินพร้อมกับทหารได้เดินทางมาพบวัดนี้ในเวลารุ่งเช้า ดังนั้นวัดนี้จึงถูกเรียกว่า "วัดแจ้ง" แต่ชื่อเดิมของวัดคือ "วัดมะกอก" เนื่องจากมีต้นมะกอกขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก 

สันนิษฐานว่าเป็นวัดเก่าแก่ในสมัยอยุธยา ส่วนชื่อ "วัดอรุณ" มาเปลี่ยนใหม่ในภายหลัง ในตอนนั้น พระเจ้าตากสินให้สร้างวังใกล้กับวัดแจ้ง พร้อมกับบูรณะวัด ดังนั้นวัดแจ้งจึงกลายเป็นวัดประจำวัง ครั้งนึงพระแก้วมรกตเคยมาประดิษฐานที่วัดนี้ ก่อนจะย้ายไปประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง 

ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ร.2 รับสั่งให้บูรณะวัดแจ้ง พร้อมกับวางแผนว่าจะขยายปรางค์ให้สูงขึ้น แต่ก็สวรรคตเสียก่อน จนกระทั่งในสมัย ร.3 ท่านให้ขยายปรางค์ให้สูงขึ้น และนำมงกุฎมาวางบนยอดนภศูล ถ้าเราใช้กล้องซูมไปบนยอดปรางค์ เราจะเห็นมงกุฎ 

วัดนี้ถือเป็น วัดประจำรัชกาลที่ 2  และอัฐิของ ร.2 ถูกบรรจุไว้ใต้ฐานพระประธานในอุโบสถของวัด