The ordination hall
The principal Buddha statue in the ordination hall
The Buddha statue in a viharn
Luang Pho Chu was the abbot
funeral pyre is made from concrete
statues at the back of the temple (a former cemetery)
Wat Hua Wao
Update : August 9, 2022
Honesty, this temple was very far from my radar, but I came here because of the real story behind this temple.
In the past, this temple was infamous for ghosts. Villagers didn't even dare to drive past, especially in the evening, because the temple has spooky and scary ambience.
Most visitors could see a body while it was being burned, but nowadays an ancient cremation custom is abolished. And The funeral pyre made from concrete was used instead, during the time of Luang Pho Boonchu, the abbot.
Later, a crematorium (Meru) was built to replace the funeral pyre. However, the pyre has been preserved for future generations, to remind them of death and help them understand the turth of life.
Around the pyre are human statues, who're telling you about "life after death".
Do you want to come here? I think the story I just told you will help you make a decision easier. If you like scary ambience like this, you go to Wat Khaochang, 23 km away from here.
Monk Biography
Luang Pho Boonchu or Phrakru Vichan Phattanakit was the abbot in 1958. He was ordained as a monk and completed the advanced level of Dhamma scholar course (Nak Tham Eak).
Shortly after he completed his studies, he was invited to stay at Wat Huawao to take care of the abbot, Luang Pho Thong. At that time, LP Thong was in poor health and too old.
But before he went there, he started to wonder why no one had served LP Thong. And when he reached there, he found that the temple was almost completely abandoned. There were few monks living there, because ghosts in the cemetery at the back of the temple haunted them.
One day, LP Thong asked LP Boonchu while getting a massage from LP Boonchu.
LP Thong : "You have stayed here for a while." "Have you ever been haunted by a ghost?"
LP Boonchu : "I was haunted every day"
LP Thong : "And are you afraid of it?"
LP Boonchu : "Yes, I didn't sleep a wink"
LP Thong : "Then why you are here" "if you're afraid, why you don't move to other temples"
LP Boonchu : "But I'm afraid that I won't serve you anymore"
LP Thong : "Then you go to the cemetery at the back of the temple tonight?"
That night, Both of the monks walked to the cemetery. LP Thong stood in front of a grave, and told LP Boonchu to dig up a bone. After digging up the bone, LP Boonchu was told to wrap the bone in a white cloth, and ground it with a pestal.
LP Boonchu then lit a candle and placed it on the ground. LP Thong, who sat beside, taught him a spell and also said that If you could cast a spell on ghost and control them here, you could do like this anywhere.
And LP Thong walked away from him, but still looked at him from afar. A few minutes later, dogs began to howl and LP Boonchu felt like someone staring at him from behind.
Suddenly, he was shocked to see the bones covered by a white cloth shaking. He tried to pull himself together and cast a spell. And then the bones stopped shaking. After that day, LP Boonchu continued practicing alone in the cemetery every night.
Later, LP Thong passed away. He became abbot in his late twenties, and not long after that, helped villagers defeat ghosts. Time passed, he had lots of bones. So, he created an amulet from bone powder and distributed free to villagers.
His amulets brought them good luck and money, that made amulet collectors flock to the temple. Some of them wanted to buy his formula, but he didn't want to sell and decided to stop making an amulet from then on.
He told himself that he would never give the amulet formula to anyone, until he had found the right one. Several years later, he found that one who was the abbot of Wat Pikunthong at that time.
LP Phae came to meet him at Wat Hua Wao, and asked him for advice. And that night, they both went to the cemetary at the back of the temple. He dug the ground and told LP Phae about a magic spell.
Once they began to cast a spell together, there were thunderous sounds from under the ground like earthquake.
The next morning, there were long cracks in the ground - Everyone thought last night's event resulted from a great deal accumulated merit of LP Phae.
And you might not know that LP Phae made an amulet, Phra Somdej, from bone powder after that day .
วัดหัวว่าว
วัดนี้ห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรี 5 กม. ใครที่ชอบความหลอน มาเที่ยวตอนตะวันจะลับฟ้านะ บอกเลยว่าบรรยากาศค่อนข้างวังเวง และชาวบ้านเล่าว่า วัดนี้ผีดุที่สุด เพราะที่นี่คือป่าช้าเก่า สมัยก่อนชาวบ้านไม่กล้าแม้แต่จะขับรถผ่านด้วยซ้ำ ต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น
แต่ก่อนทางวัดเผาศพบนกองไม้นะ ตอนหลังเปลี่ยนมาใช้เชิงตะกอนเผาศพแทน ซึ่งมีอายุประมาณ 60 ปี ใช้เผาศพคนมาเป็นพัน สร้างในสมัยหลวงพ่อบุญชู
ต่อมาทางวัดได้สร้างเมรุเผาศพขึ้นมาใช้แทน แต่ยังคงเก็บรักษาเชิงตะกอนไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดู เพื่อเตือนสติให้ระลึกถึงความตาย และช่วยให้เข้าใจสัจธรรมของชีวิต โดยด้านล่างเชิงตะกอนจะมีช่องว่างสำหรับใส่ฟืน ส่วนภายในเชิงตะกอนจะมีท่อนเหล็กวางไว้ เพื่อรับน้ำหนักของโลงศพ
สิ่งที่น่าสนใจในวัด ก็คือ เชิงตะกอนเผาศพโบราณ และรูปปั้นที่วางเรียงรายรอบเชิงตะกอน แสดงให้เห็นถึงชีวิตหลังความตาย ถ้าใครชอบความหลอนแบบนี้อีก ก็ไปต่อที่ วัดเก้าชั่ง ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ 23 กม.
ประวัติหลวงพ่อบุญชู
หลวงพ่อบุญชู ธมฺมรโต (พระครูวิชาญพัฒนกิจ) อดีตเจ้าอาวาส ปี พ.ศ.2501 เป็นหนึ่งในสุดยอดเกจิดัง ได้อุปสมบทและเรียนจนสอบได้นักธรรมเอก ต่อมาท่านได้ไปศึกษาหาความรู้ด้านธรรมะจากอาจารย์อีกหลายท่าน
ไม่นานนักชาวบ้านได้นิมนต์ท่านให้มาอยู่ที่วัดหัวว่าว เพื่อมาช่วยดูแลรับใช้หลวงพ่อทอง ที่ชราภาพมากและสุขภาพไม่ดี ซึ่งหลวงพ่อทองเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น
ตอนนั้นท่านก็คิดว่าทำไมไม่มีใครมาดูแลหลวงพ่อทองเลย เมื่อท่านมาถึงวัดหัวว่าว วัดแทบจะกลายเป็นวัดร้าง มีพระเหลือไม่กี่รูป เพราะโดนผีหลอก จนต้องย้ายไปวัดอื่น แต่ท่านก็อยู่รับใช้หลวงพ่อทองเรื่อยมา ถึงแม้จะโดนผีหลอกทุกวัน
วันนึงในขณะที่หลวงพ่อบุญชูบีบนวดให้ หลวงพ่อทองได้ถามหลวงพ่อบญชู
หลวงพ่อทอง "เอ็งมาอยู่ที่นี่ก็สักพักแล้ว" "โดนผีหลอกบ้างรึยังวะเอ็ง"
หลวงพ่อบุญชู "ผมโดนทุกวันแหละขอรับ"
หลวพ่อทอง "แล้วเอ็งกลัวไหมล่ะ"
หลวงพ่อบุญชู "กลัวสิขอรับ แทบไม่ได้จำวัดเลย "
หลวงพ่อทอง "แล้วเอ็งจะอยู่ทำไม กลัวก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นสิวะ"
หลวงพ่อบุญชู "แต่ผมกลัวจะไม่ได้ปรนนิบัติอาจารย์ทองมากกว่าครับ"
หลวงพ่อทอง "เออ ดีแล้ว งั้นคืนนี้จะให้เอ็งไปอยู่ในป่าช้าเสียเลย"
คืนนั้นหลวงพ่อบุญชูได้เดินตามหลวงพ่อทองเข้าป่าช้า จากนั้นหลวงพ่อทองให้ท่านขุดกระดูกขึ้นมาชิ้นนึง แล้วเอาห่อใส่ผ้าขาว และก็เอาสากทุปให้ป่น แล้วจุดเทียนปักลงบนดิน จากนั้นหลวงพ่อทองก็ให้คาถาหลวงพ่อบุญชู
ตอนนั้นหลวงพ่อทองพูดว่า "ถ้าเอ็งสะกดผีที่นี่ได้ เอ็งก็สะกดได้ทุกที่" จากนั้นหลวงพ่อทองก็เดินออกไปนั่งอยู่ห่างๆ สักพักหมาก็หอนทั้งป่าช้า จู่ๆ ท่านก็รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมาจับจ้องอยู่ข้างหลัง และกระดูกที่อยู่ในผ้าขาวก็เขย่าได้เอง ทำให้ท่านตกใจ ท่านจึงพยายามตั้งสติและร่ายคาถา จากนั้นผ้าห่อกระดูกก็หายสั่น
พระอาจารย์ทองจึงกล่าวว่า "ดีมาก ต่อไปนี้ให้มาฝึกทุกคืนนะ พรุ่งนี้ข้าไม่มาด้วยแล้ว" ซึ่งท่านได้ฝึกปฏิบัติเช่นนั้นเป็นเวลาหลายเดือน ต่อมาไม่นาน หลวงพ่อทองก็มรณภาพ หลวงพ่อบุญชูจึงได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งในขณะนั้นท่านมีอายุยังไม่ถึง 30 ปี ถือว่าอายุน้อยมากๆ
ต่อมาท่านได้ช่วยชาวบ้านปราบผีตามวัดต่างๆ และได้เก็บรวบรวมกระดูกผีกลับมาด้วย จากนั้นท่านก็ คิดสูตรทำผงอิทธิเจ และผสมกระดูกผีเจ็ดป่าช้า ช่วงแรกท่านทำแจกชาวบ้าน ไว้ป้องกันเภทภัย
ต่อมามีคนได้โชคลาภกันบ่อย จึงมีคนมาขอซื้อสูตรเพราะหวังจะหากำไร ท่านจึงตั้งปณิธานว่าจะไม่ให้สูตรนี้กับใคร จนกว่าจะเจอคนที่เหมาะสมจริงๆ
ผ่านมาหลายปี หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ได้เดินมาหาท่านถึงกุฎิ ซึ่งในขณะนั้นหลวงพ่อแพมีอายุมากกว่าหลวงพ่อบุญชูหลายสิบปี
เมื่อท่านเห็นหลวงพ่อแพ จึงรีบยกมือไหว้ แล้วกล่าวว่า "นมัสการขอรับพระคุณเจ้า เหตุใดมาหาพระบ้านป่าอย่างผมถึงนี่ขอรับ มีอะไรให้ผมไปหาท่านเองดีกว่านะขอรับ"
หลวงพ่อแพ "มิได้ๆ ที่ตัวฉันมาถึงนี่ ก็เพราะว่ามีเรื่องจะมาขอให้ท่านบุญชูช่วยชี้แนะหน่อย"
หลวงพ่อบุญชู "อะไรกัน ตัวกระผมสิขอรับที่จะต้องขอคำชี้แนะจากท่าน"
หลวงพ่อแพ "ฉันมีเรื่องจะมาขอความรู้นะ ช่วยชี้แนะการทำผงของท่านบุญชูได้ไหม"
หลวงพ่อบุญชู "ถ้าเป็นตัวท่านแพมาขอ ตัวกระผมขอมอบให้ด้วยใจขอรับ"
คืนนั้น พระทั้งสองรูปไปที่ป่าช้าหลังวัดหัวว่าว หลวงพ่อบุญชูได้ทำการขุดดิน จากนั้นก็แนะวิธีให้กับหลวงพ่อแพ เล่ากันว่าเมื่อครั้ง ท่านทั้งสองเริ่มสวดคาถาพร้อมกัน ได้บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากด้านล่าง คล้ายแผ่นดินไหว หมาที่เห่าหอนวิ่งหนีออกไปกันหมด
พอเช้าวันถัดมา พระที่วัดได้ไปที่ป่าช้า แล้วพบว่ามีรอยดินแตกเป็นทางยาว เหมือนโดนระเบิด น่าจะเป็นเพราะบารมีที่สูงมากของหลวงพ่อแพ ต่อมาหลวงพ่อแพได้นำสูตรนี้ ไปใช้เป็นส่วนผสมในการ สร้างพระสมเด็จของท่าน